วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อคุณหมอสู้กับมะเร็งแบบธรรมชาติบำบัดด้วยตัวเอง

นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน อาจารย์ Harvard กับโรคมะเร็ง
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์

ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ปีต้นๆหลายปีก่อนท่านปุวยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจึงตัดสนใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ช อยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบําบัด โดยการเปลี่ยนพฤตกรรมการใช้ชีวิตให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด
คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ําเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้ การกินวิตามินเสริม การออกกําลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทําตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สาคัญคือกาลังใจจากครอบครัว
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนครคอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ปวยเป็นมะเร็ง ในขณะที่มีผู้ปุวยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหาทาน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยวและสิ้นหวัง แต่การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสําคัญที่สุด เราต้องทําให้ผู้ปุวยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสทีู่้ปุวยมะเรงจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียวคือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านทาน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่านหรือไม่
๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด สูดอากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่ ผู้ปวยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคําแนะนําจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิต แต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่ามะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเรง กําลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขื้นอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน
ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่าจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอยางไร
คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
> ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี

ทาไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย

> ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมล
กหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัดพอไปเอกซเรย์ดูต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่และอยากกลับมาอยู่ปา เพราะอยู่ปาคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กําลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่าไหนปาบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ปาผิดคพูด สู้ไม่จริง นั่แหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหมมะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคด ว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสําคัญของมะเร็งทีเดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรอเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผมอยู่ในปาคนเดียว จนกระทั่งคิดหาวิธีแก้เครียดได้ อการคิดแบบตรงกันข้าม เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียดถือเสียว่าได้ชดใชกรรมกนในชาตินี้เพราะชาติที่แลวกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเราถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียดได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด ดวาเราตองมีชตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับโรคโง่ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง

มะเร็งนี่ถือว่าท
ให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
> ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อเลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทําให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป
วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้ จิตต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน ต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย คือเราไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแตผก ผลไม้ เกลอแร่ และวิตามิน ผมอยู่ในป่าอาหารที่กินประจําคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง

ทาไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ

> เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป
า ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีนชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค.ศ. ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจําคือโสมจีนและใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะอาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจํานวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย แต่กอนมความคดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทําไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คอมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉนั้ ทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทําให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้นๆ รู้ทันทีว่าทําไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้าเท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมันที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทกย่างกาว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสยว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า

คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด ใช่ไหมครับ

> อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กินในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด
เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสําคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทํางานหนัก อย่าท้องผูกกินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทํางานหนัก เมื่อตับเราดีมันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรมดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสําคัญที่เราต้องจัดการให้ได้
หากแก
ป้ญหาเรื่องเครียดได้แล้วโอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
> ก็เราเคยเห็นคนบ
าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดันหรือท้องเสียไหมล่ะขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ เคยเห็นคนบาเป็นมาลาเรยหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลอดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทําอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหลานี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเปนเรื่องสําคัญ ทําอย่างไรไม่ให้เครียด มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการทําสมาธิ แต่ทําไม่ได้คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะจากเดิมที่อาการหนกใกล้จะเสียชตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านมแล้วเข้าปอด เขาสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทําสแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดีตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย

เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทาไมร่างกายจึงดีขึ้น

> หากท่านสามารถทําให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทําให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารีให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา
พวกนี้เป็นฮอรโมนที่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดด ออกมา เพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทํางาน จนกระทั่งต่อมต่างๆที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทํางานได้เต็มที่ คือ มันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทําดี หรือสามารถทําสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทําให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา สามารถสังเคราะห์ได้หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจบ็ปวด

ฝึกอย่างไรให้เป
นคนมองโลกในแง่บวก
> คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผมเปล
ี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมดแก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์เดียวหน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนักมากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ลูกสามคนมาให้กําลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะมะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกําลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที พระพุทธองค์ทานบอกว จิตอยู่ที่ไหนพลังอยู่ที่ั่นไอน์สไตน์มีความเชื่อว่าพลังที่นแรงที่สุดมีอํานาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทําสมาธิ ท่านก็เลยไม่สําเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้งๆที่เป็นยิว

ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับหรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล
>ไม่รักษาเลย
เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมนไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ก็จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผวเมียเปน็มะเรงตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันคือผ่าตัดและคีโมแต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะมาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ

หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง

> วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะไขมันเป็นอาหารอันดับหน
ึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุกวันมันเกิดออกซิไดซ์เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้ เราอยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ํา หยุดให้ปุ๋ยมันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบ อาหารอย่างต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนโปรตนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเน ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวยนกลับไปทําให้ตับต้องทํางานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลําไส้ใหญ่ ทําให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลําไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทําให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ตับกับไตทํางานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้องระวังที่สุด

คนปรกติต
องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
> คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลําพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก
ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ํา แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุุนขายแพงมาก มันมีสารที่ปองกันมะเรงและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็นโปรตนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ อาหารอย่างที่ต้องลดคือแปงขัดขาว น้ําตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ําตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อเวลาร่างกายต้องการจะดงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ตับเปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีนและยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน

แป้งขัดขาวทาปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ

> เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน
้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับอินซูลินออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทําให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับอ่อนทํางานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัสส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แปบเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทํางานหนัก ตอนน้ําตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แปบเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแปบเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกนเลย ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายใน
อาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ

คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย

> ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอน หรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทํางานหนักเนื่องจากกระเพาะทํางานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างย
งทํางานหนัก พลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกตดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมากพวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนักมาก

นอกจากน
้ำตาลแล้ว เกลือก็ตองลดด้วยใช่ไหม
> โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดนํ้าในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม
เกลือมันจะทําให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดี เลอดต้องเป็นดางนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรด ภูมิต้านทานจะไม่มี เพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับโปแตสเซียม ทําให้เลือดไม่เป็นด่าง นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซยมเข้าไปในรางกายเพื่อใหเลือดเป็นด่าง เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึงให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือด การแก้เลือดเป็นกรดแก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆ เพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทําให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอาคารบ์อนไดออกไซด์ออกไปแล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย มนุษย์อดอาหาร ๔๕ - ๕๐ วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓ - ๕ วัน แตอากาศหายใจ ขาดเพียง ๘ ๑๐ นาทีเท่านั้น อาหารที่สคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหารแต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไปทําให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกกําลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทําให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อยล้า
คุณหมอพอจะแนะนาหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหมครับ
> เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย
ครั้งแรกกล้ันไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กล้ันไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลงอ้าปากเอาพิษออกให้หมด ยิ่งทําบ่อยเท่าไหร่ ปอดท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสียออกมาเต็มที่ ปอดมีความจสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่ อากาศเข้าออกเพียงครึ่งลิตรเท่าน้ัน บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศ ไม่เคยเปาหม้อกรองตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เราต้องบริหารการหายใจ จะทําให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด

แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกาลังกายโดยการเตะฟุตบอล

> นั่นไม่ใช่การออกกําลังกายที่ให้ประโยชน์ แต่เป็นการออกกําลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป
unaerobic เราต้องรู้ว่าการออกกําลังกายแบบaerobicกับ unaerobic เป็นยังไง การออกกําลังกายแบบaerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่ unaerobicได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทําให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยังทําผิด เต้น ๆ แล้วเกรงเครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่แอโรบิก แอโรบิกทําแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียด ให้สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิดกรด ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทําลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทกวันนี้ นักฟตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มีใครอายุยืนบ้าง ... ไม่มีเลย เพราะร่างกายมันเสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่า การออกกําลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็วและให้ถูกแสงแดด เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออกกําลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทําให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล

คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด

> อาหารธรรมชาติ
อย่างพืชผก ผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสูง คนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนําให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอดอาหารแต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจําเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้วาร่างกายเราขาดอะไรก่อน

การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีกครับ

> ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม เขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ
๗๕,๐๐๐ ล้านเซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่าเหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้ามาทําลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทําลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทําให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทําลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้ วิตามินซีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด เวลาฉีดวิตามินซี ทําไมคนไข้สงบเร็วเพราะมันไปลด อีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิดการอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามินซี ๔ - ๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก

เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่

> ท่านทราบหรือไม่ว
าส้มลกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกนจากตทันที แต่ ถาส้มหนึ่งลูกเก็บไว้เจ็ดวันจะเหลือ มิลลิกรมเท่านั้น วิตามินซหายหมดเลย ดังนั้นถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔พันมิลลิกรัม ต้องกินสมสี่พันลูก

กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ

> วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมงแล้วจะถูกขับออกมา แต่ก่อนเขาบอกวิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาล
กเอซิด แล้วพอตกไปกระเพาะปสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิดมีน้อยมาก เพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำมันจะออกหมดภายในสองชั่วโมงไม่ได้สะสม บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไปดื่มน้ําน้อย วตามินซีมีสามรูป แอสคอมิกเอซิด แคลเซียมแอสคอเบด โซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิดเป็นกรด แคลเซียมแอสคอเบด กับ โซเดยมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลง ถ้าเรากินวิตามินซีพวกนี้เข้าไปจะไม่ค่อยมีปัญหาแต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไปจะเป็นแอสคอมิกเอซิดซึ่งเป็นกรด นเข้าไปแล้วขับถ่ายออกมาเร็ว ถ้าเรากินน้ำน้อย ตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบ ฉะนั้นจึงบอกให้ดื่มนํ้ามาก ๆ

เหตุใดคุณหมอให้ความสาค
ญกับการกินวตามินมากครับ
> คนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สิ่งแวดล้อมทําให้เรารับอนุมูลอิสระหรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกาย
เราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่
เพียงพอ ตามปรกต
จะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ํากว่า ๔ - ๕ กรัมตอวัน เป็นขนาดที่เพียงพอสําหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิต้านทานหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย ก็ลองกิน ๖ ๑๒ กรัมดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมือง เราเป็นหวัดหรือไม่ ไม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตําราของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาของแพทย์ตะวันตกที่ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว จึงมีการสอนกันว่าเรื่องการให้เกลือแร่ วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น

หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมออีกประการคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

> ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหม พอเราเกิดมาปฺุบ จะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาว
ปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตร
จะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาวระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราแล้วคือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทําให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความปวยไข้อีกอย่างเป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯ ในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็งเหมือนบ้านเมืองนี้ มีโจรแต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งคือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหารหรือภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่งพวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉยๆ แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอพวกนี้เล่นงานก่อน นอนก็ไม่ได้นอน ไปเที่ยวกลางคืน กําลังกายก็ไมออก ทหารตํารวจก็อ่อนแอ มะเร็งก็เล่นงานเลย

มีวิธีสร้างภูมิต้านทานอย่างไร

> ทําได้หลายวิธี อาทิ ออกกําลังกายหรือเดินให้ได้รับแสงแดด แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไปกระตุ้น ต่อมไพเนียล ใต้สมองให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมา
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุขและระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน ๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมาเรามีความสุข มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่งทันที มันไปกระตุ้น ต่อมไทรอย และต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่าเริ่มสร้างภูมิต้านกนแล้ว และการยิ้มหัวเราะคลายเครียดแต่ละครั้งก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วย นอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลตยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี วิตามินดีจะไปช่วยให้แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูกกลับเข้าไปในกระดูก ลดคลอเลสเตอ รอล ทําให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส แคลเซี่ยม แมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไป สู้วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติจากแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้

ไส้ติ่งก็เป็นประโยชน์แก่ภูมิคุ้มกันแก่ร
างกาย แตแพทยจจุบันแนะนให้ตัดออก
> สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่ไปรบในสงคราม ทุกคนต้องผ่าตัดไส้ติ่งหมดเพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงคราม ตัดหมดทุกคนเลย ไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้านก
นหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์เขารู้ว่า ไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงคราม เขาเอาเรื่องรัฐบาลว่ามาตัดไส้ติ่งเขาหมด รฐบาลปดปากเงียบเลย