วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

LAND-Bridges ควรเปลี่ยนเป็น SEA-Bridges จะได้ประโยชน์มหาศาลกว่ามาก

LAND-Bridges ควรเปลี่ยนเป็น SEA-Bridges จะได้ประโยชน์มหาศาลกว่ามาก
เรียน   ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ผ่าน   ท่านนายกปู


อยากให้ท่านนายกปูพิจารณา ข้อ ๕ ถัดไปเป็นพิเศษ เพราะดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้คิดโครงการ ไว้โครงการหนึ่ง ชื่อ LAND-Bridges คือการก่อสร้างถนนเพื่อเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยกับฝั่งทะเลอันดามันให้เป็นถนนคอนกรีต ๔ ช่องจราจรเพื่อขนถ่ายน้ำมันและสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จากฝั่งอันดามันไปฝั่งอ่าวไทยหรือกลับกันซึ่งจะมีท่าเรือเพื่อขนถ่ายน้ำมันและตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสองฝั่ง เพื่อช่วยย่นระยะทางไม่ต้องให้เรือน้ำมันและเรือบรรทุกสินค้าอ้อมช่องแคบมะละกาผ่านมาเลเซียอินโดนีเซียและสิงคโปร์ไปทะเลจีนใต้ที่มีประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซียและประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอื่นๆ คล้ายกับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทะวายของพม่า ซึ่งบริษัทของไทยกำลังช่วยพม่าก่อสร้างพัฒนาด้วยเงินทุนของจีนที่กำลังพยายามหาทางออกทะเลจากยูนนานลงใต้สู่ทะเลอันดามัน ข้อสำคัญ จึนพยายามจะหาทางใช้รางเพื่อขนสินค้าจากจีนตอนใต้ไปออกทะเลที่อันดามันหรือกลับกัน เพื่อย่นระยะทาง เวลาและประหยัดน้ำมันแทนการต้องขนสินค้าทางเรือผ่านช่องแคบ มะละกาวันละกว่า ๑๔๐ เที่ยว

จริงๆ แล้ว เราควรต้องเปลี่ยนโครงการก่อสร้าง LAND-Bridges ให้เป็นโครงการ  SEA-Bridges จะได้ประโยชน์มากมายมหาศาลมากกว่า เพราะ  SEA-Bridges หมายถึงการขุดคลองเชื่อมทะเลอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน หรือการขุดคอคอดกระเดิมนั่นเอง ซึ่งคนไทยคิดกันมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็๓๐๐ ปีแล้วยังไม่ได้ขุด เนื่องจากถูกขัดขวางจากประเทศมหาอำนาจทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสรวมทั้งอินโดนีเซียและสิงคโปร์ตลอดมา ขณะนี้ประเทศมหาอำนาจต่างๆไม่อาจขัดขวางโครงการนี้ได้อีกแล้ว เพราะเป็นการขุดคลองไทยโดยเปิดเผยภายในดินแดนของไทยเอง และเรายินดีให้เรือของทุกชาติมาใช้บริการทางผ่านได้สะดวกเพียงจ่ายค่าผ่านคลองซึ่งเรือที่มาใช้บริการจะประหยัดเวลา เชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายต่างๆลงได้มาก รวมทั้งยังมีความปลอดภัยจากโจรสลัดอีกด้วย

โครงการ SEA-Bridges จะเปลี่ยนประเทศไทยและคนไทยโดยเฉพาะคนใต้ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนั้นถ้าไทยทำโครงการ SEA-Bridges สำเร็จจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยและของโลกเติบโตอย่างเห็นได้ชัด SEA-Bridges ยังจะพลิกไทยให้กลายเป็นยักษ์แคระแห่งเอเซียขึ้นมาทันทีและจะทำให้โครงการยักษ์ขนาดใหญ่ของจีนที่กำลังสร้างจากจีนตอนใต้เพื่อเปิดประตูผ่านพม่าลงสู่ทะเลอันดามันต้องเป็นง่อยหรือต้องปวดหัวมากที่สุดจนต้องเปลี่ยนแผนก่อสร้างทั้งหมด เช่น โครงการแรก ท่อส่งน้ำมันดิบ น้ำมันดิบที่ขนมาจากตะวันออกกลางจะมาลงท่อที่นี่ แนวท่อทอดจากเมืองเจียวเพียว (เรียกตามสำเนียงจีน) ผ่านมัณฑะเลย์-ลาโช-มูเซ ประเทศพม่า เข้าสู่เมืองมูเซ ไปถึงคุนหมิง ประเทศจีน ความยาวท่อ 1,100 กม. คาดว่าจะขนส่งน้ำมันดิบได้ 22 ล้านตันต่อปี

โครงการที่ 2 ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เชื่อมจากแหล่งก๊าซในพม่า วางแนวขนานกับท่อส่งน้ำมันดิบ คาดว่าจะขนส่งก๊าซได้ถึง 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี สี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีของจีน ได้มาลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ตลอดจนการบริหารท่อก๊าซดังกล่าวระหว่างการเยือนพม่าเมื่อมิถุนายนปี 2009

โครงการที่ 3 รถไฟ เจียวเพียว-มูเซ เส้นทางแนวเดียวกับท่อส่งก๊าซและท่อส่งน้ำมัน รถไฟวิ่งได้เร็ว 160 กม./ชม. ความยาวของระยะทางรถไฟคือ 810 กม. หากเปรียบเทียบแล้วจะประหยัดเวลากว่าเส้นทางท่าเรือทวาย-มูเซ ที่มีความยาว 1,700 กม. เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดี เตงเส่งไปเยือนจีนเป็นประเทศแรกหลังได้รับตำแหน่ง พม่าได้รับเงินจาก China Development Bank ในปี 2011 เพื่อสร้างรถไฟสายนี้

โครงการที่ 4 นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกที่เมืองเจียวเพียว ท่าเรือน้ำลึกสามารถรองรับเรือบรรทุกน้ำมัน 3 แสนตันได้ เมืองนิคมอุตสาหกรรมจะมีทุกอย่างครบวงจร ทั้งสนามบิน โรงงานปิโตรเคมี โรงงานถลุงเหล็ก เรียกได้ว่าเอามาบตาพุดกับแหลมฉบังมารวมกัน

โครงการท่าเรือน้ำลึกทะวายต้องกลายเป็นง่อยไปเลยทันที ที่สำคัญอีกอย่างที่ไทยกำลังจะเชื่อมแหลมฉะบังเข้ากับท่าเรือน้ำลึกทะวายของพม่าด้วยการสร้างทางรถไฟก็จบลงด้วยเช่นกันโดยไม่ต้องสร้าง เพราะ SEA-Bridges จะเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลกว่าโครงการอื่นๆที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด การลงทุนจากต่างประเทศจะย้ายจุดกลับมาลงทุนที่ไทยแทนทันที ทั้งนี้ไทยยังยินดีที่จะให้ประเทศต่างๆเข้ามาลงทุน ถือหุ้น โครงการต่างๆของไทยที่จะสร้างอีกด้วย มีการศึกษาถึงเหตุผลความเป็นไปได้ในการขุดคอคอดกระเชื่อมทะเลอ่าวไทยและอันดามันจากคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาชุดหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรต้องขุดคอคอดกระ ตามแนวที่ได้สำรวจไว้แล้วคือแนว 9A จะเหมาะสมที่สุด

^ 1. แนว 9A  การขุด “คลองไทย” ที่สำรวจแล้ว                      “คลองไทย”ศูนย์กลางเดินเรือโลกสายใหม่ 2.^     V   3. “คลองไทย”เริ่มจากฝั่งอันดามัน อ.สิเกา จ.กระบี่ ตรัง พัทลุง สงขลา อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ออกสู่ฝั่งอ่าวไทย ระยะทางตรง ๑๒๐ กิโลเมตร อันดามันรวมช่วงประตูน้ำสิเกา จ.กระบี่ ๒๘.๕๖ กิโลเมตร (Sigoa-Krabi Locks) ช่วงกลางคลองไทย จ.ตรัง พัทลุง สงขลา-ทะเลน้อย ๗๓.๐๒ กิโลเมตร (Trang Phattalung Songkla(Talaynoi) ตรงกึ่งกลางจะเป็นสะพานแขวนข้าม “คลองไทย” (Hanging Bridges) และทางรถไฟความเร็วสูงสายใต้ (Southern Hi-Speed Train) และช่วงประตูน้ำหัวไทร จ.นครศรีธรรมราชทะลุอ่าวไทย ๔๕.๕๙ กิโลเมตร (Huasai-Nakhon Si Thammaraj Locks) รวมความยาวทั้งหมด ๑๔๗.๑๗ กิโลเมตร     


(ภาพจำลอง “คลองไทย”ตามแนว 9A  ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราชและสงขลา ระยะทาง 120 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่คณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาชุดหนึ่งได้คัดสรรไว้แล้ว จากฝั่งทะเลอันดามัน (ด้านซ้ายมือ) และสุดทางที่ฝั่งอ่าวไทย (ด้านขวามือ)  1       Sigao Locks at Trang  2. HuaSai Locks at NakhonSri Thammaraj 3. Hanging Bridges  4. Southern Bullet Trains)

ถ้าไทยสามารถทำโครงการ SEA-Bridges ได้สำเร็จด้วยการขุด”คลองไทย” จะนำรายได้เข้าประเทศมากมายมหาศาลแล้วยังช่วยให้เศรษฐกิจทั้งของไทยประเทศเพื่อนบ้านและประเทศต่างๆทั่วโลกดีขึ้นเพราะ  “คลองไทย” จะช่วยให้การขนส่งสินค้าด้วยคอนเทนเนอร์และการท่องเที่ยวทางเรือสามารถตัดตรงจากทวีปยุโรป อเมริกา กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและจากทั่วโลกมาใช้  “คลองไทย” ได้เลยเพื่อประหยัดค่าขนส่งและเพื่อการท่องเที่ยว “คลองไทย” จะขยายเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลไปยังเมืองท่าสำคัญๆของหลายประเทศทางอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซียและประเทศประชาคมอาเซียน โดยไม่ต้องเสียเวลาอ้อมผ่านประเทศมาเลเซียอินโดนีเซียและสิงคโปร์เหมือนปัจจุบันและจะปลอดภัยจากปัญหาโจรสลัดบริเวณช่องแคบมะละกา ย่นระยะทางลงได้มากรวมทั้งยังประหยัดเวลาในการเดินทางประหยัดน้ำมันและค่าใช้จ่ายต่างๆ คลองไทยจะเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางเดินเรือของโลกเส้นทางใหม่ ข้อสำคัญทุกประเทศจะได้รับความสะดวกและได้รับประโยชน์จากการใช้คลองไทยกันทั่วหน้า
ประมาณการอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ “คลองไทย”                                                         เมื่อเปรียบเทียบกับ “คลองปานามา”                                                                               ความฝันของคนไทยจะเป็นจริงได้อย่างไร

ค่าธรรมเนียม

ประเภท ๑  เรือขนสินค้า ค่าธรรมเนียมประเมินจาก ทีอียู.(TEU) Twenty-foot Equivalent Unit เป็นขนาดของคอนเทนเนอร์ ขนาด 20 ฟุต(6 เมตร) x 8 ฟุต (2 เมตร) x 8.5 ฟุต(2.6 เมตร) บังคับใช้ตั้งแต่ 1 พค.2007  ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ US$54 ต่อ 1 TEUเรือขนสินค้าที่ใหญ่ที่สุดอาจขนสินค้าได้ถึง 4,400 ทีอียู (US$237,600.00) แต่มีข้อลดหย่อนสำหรับเรือเปล่าที่ไม่มีผู้โดยสาร หรือไม่มีการขนสินค้า

ประเภท ๒ แต่เรือส่วนใหญ่จะจ่ายค่าธรรมเนียมในหน่วย PCUMS (Panama Canal/Universal Measurement System) ที่ 1 ตันมีค่าเท่ากับ 100 ลูกบาศก์ฟุต (2.8 ลูกบาศก์เมตร) โดยค่าธรรมเนียมในปี 2007 อยู่ที่ 3.26 เหรียญสหรัฐต่อตันสำหรับ 10,000 ตันแรก และจ่ายที่ 3.19เหรียญสหรัฐต่อตันสำหรับ 10,000 ตันถัดไป และหากเกินกว่านั้นยอดที่เหลือคิดที่ 3.14 เหรียญสหรัฐต่อตัน และราคามีข้อลดหย่อนสำหรับเรือเปล่าเช่นกัน

ประเภท ๓  เรือขนาดเล็ก ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับความยาวของเรือ โดยราคา ณ ปี 2007 อยู่ที่                                            

                     ความยาวของเรือ                      ค่าธรรมนียมเป็น US$     ค่าธรรมเนียมเป็น Thai ฿

น้อยกว่า 15.240 เมตร (50 ฟุต)                                         500 เหรียญ            15,000.00  บาทมากกว่า 15.240 (50 ฟุต) ถึง 24.384 เมตร (80 ฟุต)                   750                        22,500.00       มากกว่า 24.384 เมตร (80 ฟุต) ถึง 30.480 เมตร (100 ฟุต)     1,000                     30,000.00      มากกว่า 30.480 เมตร (ฟุต)                                          1,500        "                     45,000.00    "          ค่าธรรมเนียมที่แพงที่สุดมีการบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๑๕ พค. ๒๐๐๘ จากเรือขนสินค้าที่ชื่อว่า Disney Magic จ่ายค่าธรรมเนียมไป US$331,200 เหรียญสหรัฐ ส่วนค่าธรรมเนียมเรือนักเดินทางชาวอเมริกันชื่อ ริชาร์ด ฮาลลิเบอร์ตัน เมื่อปี 1928 จ่ายไปน้อยที่สุดแค่ US$-0.38 เหรียญสหรัฐ                                       หมายเหตุ- อัตราการคิดค่าธรรมเนียมเรือผ่าน”คลองไทย” คงต้องปรับใหม่เพราะตัวอย่างที่ยกมาเป็นตัวเลขเก่าหลายปีแล้ว

 ท่านนายกมองเห็นอนาคตของคนไทยและประเทศไทยแล้วหรือยังว่า SEA-Bridges” จะทำให้ “ไพร่ฟ้าหน้าใส” คนไทยจะลืมตาอ้าปากกันได้ก็คราวนี้ ยิ่งกว่าน้ำมันและก๊าซที่เราหลงว่าจะโชติช่วงชัชวาลเสียอีก ท่านนายกจะทำให้คนทั้งโลกได้โชติช่วงชัชวาลพร้อมกันไปด้วย เพราะเศรษฐกิจของไทย ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและของโลกจะฟื้นตัวกันทั่วหน้าจากโครงการ SEA-Bridges” ด้วยการขุด “คลองไทย” เราจะเป็นยักษ์แคระแห่งเอเซียพร้อมกับดึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆทั่วโลกให้ฟื้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จากการเปิดเส้นทางเดินเรือของโลกเส้นทางใหม่ ในการขนสินค้าทางเรือด้วยคอนเทนเนอร์และทำให้การขนส่งน้ำมันดิบทางเรือสามารถเดินทางจากตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาและอาฟริกาผ่านคลองไทยไปยังท่าเรือจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซียและประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้สะดวกประหยัดและปลอดภัยโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาอีกต่อไป

คณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาส่วนหนึ่งกำลังจะเสนอความคืดนี้ให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการขุด “คลองไทย” หากท่านนายกจะช่วยให้คนไทยทั้งชาติสามารถมีรายได้มีอาชีพด้วยการมีส่วนร่วมจากการดำเนินโครงการ “SEA-Bridges”ดยการถือหุ้นเป็นเจ้าของโครงการ “คลองไทย” กันทุกคน ทำไมรัฐบาลโดยท่านนายกจะไม่ริเริ่มทำความคิดนี้ให้เกิดขึ้นเพราะวุฒิสภาเองคงไม่สามารถทำได้แน่นอนเนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องอาศัยคนทั้งแผ่นดินเห็นชอบด้วยเท่านั้นจึงจะร่วมมือกันทำได้สำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุด ท่านนายกไม่เพียงจะเป็นผู้นำประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเท่านั้น แต่จะเป็นผู้นำคนสำคัญเช่นเดียวกับจีนอินเดียและญี่ปุ่นทันที ท่านนายกยังจะทำให้ความฝันของคนไทยที่มีมากว่าสามร้อยปีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเป็นผลสำเร็จขึ้นได้ในที่สุด                                                  และด้วยวิธีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาตามโครงการ “SEA-Bridges” หรือ คลองไทย” ยังจะทำให้ความฝันของท่านนายกในเรื่องความปรองดองแห่งชาติสามารถเดินหน้าได้ต่อไป จากการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในโครงการต่างๆที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายทำไว้ แล้วกราบบังคมทูลๆเกล้าทูลกระหม่อมถวายลิขสิทธิ์ทางปัญญาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระราชทานทุนประเดิมเป็นสิริมงคลต่อไปทั้งนี้รัฐบาลจะเปิดให้คนไทยทุกคนสามารถจองซื้อหุ้นโดยทั่วหน้ากัน


วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นิติราษฎร์แถลงโต้ ศาล รธน. ไม่มีอำนาจชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นิติราษฎร์แถลงโต้ ศาล รธน.ไม่มีอำนาจชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นิติราษฎร์ชี้ 3 ประเด็นหลักคำสั่งชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เหตุ คำร้องไม่ชอบ ศาลรธน. ไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้ , คำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรธน. เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยรธน. ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา และ หากรัฐสภายอมรับให้คำสั่งให้มีผลผูกพันตามกฎหมายจะทำให้ ศาลรธน.กลายเป็นองค์กรที่ อยู่เหนือรธน. อยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ และมีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

แถลงการณ์
เรื่อง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญกรณีรับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ไว้พิจารณา
และคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ตามที่มีบุคคลเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๖๘ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งฉบับ อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังปรากฏตามข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ นั้น
คณะนิติราษฎร์พิจารณาแล้ว มีความเห็นต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวในสามประเด็น ดังนี้
๑. การกระทำที่เป็นเหตุแห่งการเสนอคำร้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘ ให้สิทธิแก่บุคคลผู้ทราบการกระทำอันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิ๔ีที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สามารถเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว เหตุแห่งการเสนอคำร้องตามมาตรา ๖๘ ต้องเป็นการกระทำของบุคคลหรือพรรคการเมืองแต่ข้อเท็จจริงในกรณีนี้เป็นการใช้อำนาจของรัฐสภาในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูฐ กรณีนี้จึงไม่ใช่การกระทำของ "บุคคล" หรือ "พรรคการเมือง" ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๘
รัฐสภาได้ใช้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามกระบวนการและขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๑๕ ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่รัฐสภาใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มิใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้แก่บุคคลและพรรคการเมือง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีนี้เป็นการกระทำตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนหรือทั้งฉบับ ตราบเท่าที่การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวมิได้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะถือว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอันมีผลเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับนั้นเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อคราวที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ และคราวที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ โดยการจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
๒. ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๘ วรรคสอง กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำ ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หมายความว่า บุคคลต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดก่อน ภายหลังอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมีมูล อัยการสูงสุดจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความว่า การเสนอคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสองนั้น อาจทำได้สองวิธี คือ หนึ่ง บุคคลมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สอง บุคคลมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้โดยตรง โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
คณะนิติราษฎร์เห็นว่า กรณีตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง ไม่อาจตีความตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเฉพาะแต่อัยการสูงสุดเท่านั้น ที่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และอัยการสูงสุดก็ไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้หากปราศจากการเสนอ เรื่องของบุคคลผู้ทราบการกระทำตามมาตรา ๖๘ วรรคแรก กรณีคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง จึงต้องดำเนินการเป็นสองขั้นตอนตามลำดับได้แก่ บุคคลเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะขาดขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปมิได้
นอกจากนี้ เมื่อได้ตรวจสอบบันทึกรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๒๗/๒๕๕๐ เกี่ยวกับบทบัญญัติมาตรา ๖๘ พบว่าสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าใจตรงกันว่าผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง คือ อัยการสูงสุดเท่านั้น
หากพิจารณารัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะเห็นได้ว่าในกรณีที่รัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้สิทธิแก่บุคคลทั่วไปในการ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกรณีปรากฏในมาตรา ๒๑๒ ว่าบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ และไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่ง กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้
คณะนิติราษฎร์เห็นว่าการตีความมาตรา ๖๘ วรรคสองของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ขัดกับหลักการตีความกฎหมายทั้งในแง่ถ้อยคำ ประวัติความเป็นมา เจตนารมณ์ ตลอดจนระบบกฎหมายทั้งระบบ เป็นการตีความกฎหมายที่ส่งผลประหลาดและผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง
๓. อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการกำหนด “วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำ
คำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนมี
คำวินิจฉัย แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอาวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔ มาใช้ โดยอาศัยข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญฯ ข้อ ๖
วิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยเป็นมาตรการสำคัญในกระบวนพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีรัฐธรรมนูญ การกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้อำนาจตาม รัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น หากรัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อน มีคำวินิจฉัย ต้องบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
คณะนิติราษฎร์เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจก่อตั้งอำนาจกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยได้ ด้วยตนเอง โดยอาศัยแต่เพียงข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญฯ ข้อ ๖ เพื่อนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔ มาใช้ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้นำวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยมาใช้ระงับ ยับยั้งกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการเข้าแทรกแซงกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยไม่มีอำนาจกระทำได้
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิทักษ์ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ และทำให้กลไกต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ดำเนินการไปได้ตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ แต่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้กลับมีผลเป็นการทำลายกลไกการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้มอบอำนาจนี้ไว้ให้แก่รัฐสภาเท่านั้น อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญรูปแบบหนึ่ง ที่มีลำดับชั้นทางกฎหมายสูงกว่าอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งอำนาจทั้งสามเป็นเพียงอำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญอีกทอดหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจตุลาการ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการควบคุมตรวจสอบการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถควบคุมตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังเช่น การควบคุมตรวจสอบพระราชบัญญัติมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้
อาศัยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด คณะนิติราษฎร์เห็นว่า
๑. ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับคำร้องในกรณีนี้ไว้พิจารณาได้ เนื่องจากการยื่นคำร้องในกรณีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกระบวนการและขั้นตอนตามที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘
๒. คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงไม่มีผลผูกพันรัฐสภาให้ต้องรอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ
หากรัฐสภายอมรับให้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้มีสภาพบังคับทางรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถขยายแดนอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่ อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ และมีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ท่าพระจันทร์, ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕


ที่มา: http://www.enlightened-jurists.com/blog/64

ผมขอฝาก link

ผมขอฝาก link เอกสารที่มีการอ้างถึง ก็คงจะมีการพูดกันในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้ ก็คือ คำถามว่า บัดนี้ได้เกิดหลักฐานเชิงประจักษ์หรือไม่ว่า มีตุลาการบางท่านที่ในอดีตเข้าใจ มาตรา 68 แบบหนึ่ง แต่วันนี้กลับตีความอีกแบบหนึ่ง
แถลงการณ์ของนิติราษฎร์ ใช้คำพูดเชิงสรุปว่า
"นอกจากนี้ เมื่อได้ตรวจสอบบันทึกรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๒๗/๒๕๕๐
เกี่ยวกับบทบัญญัติมาตรา ๖๘ พบว่าสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้าใจตรงกันว่าผู้ยื่นคำร้องต่อศาล
รัฐธรรมนูญตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง คือ อัยการสูงสุดเท่านั้น"
ลองเทียบกับความเห็นของผมก่อนหน้านี้
"การให้ความสำคัญกับอัยการสูงสุด ยังปรากฏหลักฐานจาก “รายงานการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ” ครั้งที่ 27/2550 เช่น คำอภิปรายโดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ในหน้าที่ 6-8 และนายจรัญ ภักดีธนากุล (ผู้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเวลานี้) ในหน้าที่ 32-34 ซึ่งอภิปรายถึงการให้อัยการสูงสุดเป็นผู้นำคดีไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้กล่าวถึงการให้สิทธิบุคคลอื่นยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลแต่อย่างใด"
(http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150931755704707)
ท่านใดสนใจ ลองดูเอกสารบันทึกการประชุมได้ที่ http://bit.ly/Mg9kLY แล้วช่วยกันพิจารณาว่าเห็นอย่างไรนะครับ

อิอิ รอเปิดทีวีดูข่าว

อิอิ รอเปิดทีวีดูข่าว ศาลรัฐธรรมนูญ :-)
บรื้น~~~

มองทางบวก

มองทางบวก ........กิ้งกือตกท่อ
มองทางลบ .........รู้กฎหมายทุกมาตรา แต่ใช้กฎหมายอย่างมีเลศนัย ชั่วช้ากว่าโจร

Post new comment

ข้อมูลนี้จะไม่เปิดเผยทั่วไป

Glad you liked it. Would you like to share?

Sharing this page …
Thanks! Close

Add New Comment

Please wait…

Showing 0 comments

    คำชี้แจง
    เว็บไซต์ประชาไท ให้บริการพื้นที่แสดงความคิดเห็นต่อข่าวและบทความแบบสาธารณะ ขอความร่วมมือในการแสดงความคิดเห็นโดยเคารพกฎหมาย, ความเห็นที่แตกต่าง และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
    • ประชาไทแสดงหมายเลขไอพี* ของผู้โพสต์ประกอบความเห็นเสมอ
    • ประชาไทไม่มีนโยบายกรองข้อความก่อนการแสดงผล
    • อย่างไรก็ตามขอสงวนสิทธิ์ในการปิดการแสดงความเห็นที่ไม่เป็นไปตามกติกาหากตรวจสอบพบภายหลัง
    ทั้งนี้ข้อความที่โพสต์จะยังไม่ปรากฎในทันที ซึ่งเป็นข้อจำกัดด้านเทคนิค
    จึงเรียนมาเพื่อทราบและขอบคุณในความร่วมมือ
    * หมายเลขไอพีปัจจุบันใช้เป็นข้อมูลที่เชื่อมโยงกลับไปที่ข้อมูลการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจระบุไปถึงแหล่งที่มาการโพสต์หรือบุคคลที่โพสต์ได้ นอกจากนี้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 26 กำหนดให้ผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ไว้ 90 วัน

    วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

    ผักผลไม้ปั่นต้านมะเร็งสูตรทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์

    > > เรื่อง: สูตรน้ำผักต้านมะเร็ง
    > เป็นสูตรน้ำผัก ผลไม้ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ...
    > น้องที่ทำงานของเปิ้ล > มีญาติเป็นมะเร็ง 2 คน หมอนัดให้ทำคีโม 1 คน
    > ผ่าตัด 1 คน โดยให้ไปพักผ่อนก่อน 1 - 2 อาทิตย์ ก่อนทำการรักษา
    > > ..... ระหว่างนั้นเองน้องที่ทำงาน ได้สูตรน้ำผัก ผลไม้ของฟ้าหญิงฯ มา ก็เลยลองให้ญาติทานดู แทนน้ำเลย วันละ 1 ลิตร
    > > เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ไปตรวจอีกครั้งก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็ง เล็กลงจนเกือบไม่มีเลย 1 คน / ส่วนอีกคนมะเร็ง หายไปเลย .....
    > > ไม่น่าเชื่อ เค้าตื่นเต้นกันมากหมอรพ.จุฬา ขอสูตรกันยกใหญ่
    > > ตอนนี้น้องๆ ที่แผนก เลย สั่งกินกันทุกวัน เพื่อเป็นภูมิต้านทาน ส่วนใครที่มีญาติเป็นมะเร็ง นำสูตรนี้ไป
    > > ทำให้กินได้เลย หรือบอกต่อๆ กันไป...เป็นอานิสงฆ์นะ
    > > น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมากมีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโมแต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจลองนำไปปั่นทานกันดู .. น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย
    > > 1. แอปเปิ้ล 1 ผล
    > > 2. แครอท 1 ลูก
    > > 3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
    > > 4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
    > > 5. มะนาว 1 ลูก
    > > 6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
    > > 7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
    > > 8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
    > > 9. ฝรั่ง 1 ผล
    > > 10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
    > > 11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
    > > นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย
    > > ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน
      > ปิยรัตน์ วงศ์อรินทร์ ฉิมโฉม
    > Piyarat Wongarin Chimchome, PhD
    > Department of National Parks, Wildlife and Plant Conservation,
    > 61 Paholyothin Rd., Chatuchak,
    > Bangkok 10900 THAILAND
    >
    > Mobile: +668 5224-0111
    > E-mail:
    noina45@gmail.com

    วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

    ตำราไม่ล้างไตก็หายได้ ถ้า...

    Subject: : ตำราไม่ล้างไตก็หายได้ ถ้า...



    "ช่วยเผยแพร่ เรื่อง ตำราไม่ล้างไต กับ ผู้ป่วยเป็นโรคไต

    ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง”  
    _____________________________________________

    ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ
    คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี


    การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้าเพราะที่บ้าน

    ปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต
    คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปีในการฟอกไตและในที่สุด

    ก็ต้องจากไป

    ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องฟอกไต
    การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง จนไม่สามารถขับถ่าย

    ของเสียออก บางทีญาติหรือเพื่อนของท่านบางคนกำลังฟอกไตอยู่
    จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศลยิ่ง

    คนที่นำไปทดลองใช้จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน

    เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว

    ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์

    ทรมานนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้ง
    แต่มาคิดได้ว่า ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ ลูก

    หลานหลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ

    มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์

    แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป

    ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น
    บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2 แล้ว

    คุณน้ามาเยี่ยมถามว่าอยากลองตำราวิเศษไหม รับรองไม่ต้องฟอกไต

    อีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที

    ตอนบ่ายคุณน้านำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อแบ่งดื่ม 2 ครั้ง
    วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีก ครึ่งลูก

    ในวันนั้น ปรากฏว่าการถ่ายปัสสวะดีขึ้น พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต
    แต่หมอตรวจแล้วว่าวันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน

    ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก
    คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่าไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว

    ตำราวิเศษมีดังนี้.--


    เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตกแล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้

    ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบางล้างให้สะอาดตัดเอาเอ็นสีขาวออก

    เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า


    ทำการนึ่งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียวก็จะได้ผล

    ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไตเพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน


    ช่วยเผยแพร่ตำรานี่แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย

    จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

    ผมพิมพ์และถ่ายให้แม่แล้ว แม่อาจเอาไปแจกให้คนอื่น ก็แล้วแต่ท่าน ส่งเมล์ต่อด้วยนะครับ เป๊กกิ๊ก (เจ้าเก่า)

    วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

    เมื่อคุณหมอสู้กับมะเร็งแบบธรรมชาติบำบัดด้วยตัวเอง

    นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน อาจารย์ Harvard กับโรคมะเร็ง
    วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์

    ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ปีต้นๆหลายปีก่อนท่านปุวยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจึงตัดสนใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ช อยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบําบัด โดยการเปลี่ยนพฤตกรรมการใช้ชีวิตให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด
    คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ําเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้ การกินวิตามินเสริม การออกกําลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทําตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สาคัญคือกาลังใจจากครอบครัว
    สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนครคอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ปวยเป็นมะเร็ง ในขณะที่มีผู้ปุวยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหาทาน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยวและสิ้นหวัง แต่การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสําคัญที่สุด เราต้องทําให้ผู้ปุวยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสทีู่้ปุวยมะเรงจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียวคือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านทาน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่านหรือไม่
    ๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด สูดอากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่ ผู้ปวยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคําแนะนําจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิต แต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่ามะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเรง กําลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขื้นอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน
    ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่าจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอยางไร
    คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
    > ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี

    ทาไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย

    > ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมล
    กหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัดพอไปเอกซเรย์ดูต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่และอยากกลับมาอยู่ปา เพราะอยู่ปาคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กําลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่าไหนปาบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ปาผิดคพูด สู้ไม่จริง นั่แหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหมมะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคด ว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสําคัญของมะเร็งทีเดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรอเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผมอยู่ในปาคนเดียว จนกระทั่งคิดหาวิธีแก้เครียดได้ อการคิดแบบตรงกันข้าม เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียดถือเสียว่าได้ชดใชกรรมกนในชาตินี้เพราะชาติที่แลวกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเราถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียดได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด ดวาเราตองมีชตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับโรคโง่ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง

    มะเร็งนี่ถือว่าท
    ให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
    > ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อเลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทําให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป
    วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้ จิตต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน ต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย คือเราไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแตผก ผลไม้ เกลอแร่ และวิตามิน ผมอยู่ในป่าอาหารที่กินประจําคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง

    ทาไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ

    > เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป
    า ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีนชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค.ศ. ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจําคือโสมจีนและใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะอาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจํานวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย แต่กอนมความคดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทําไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คอมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉนั้ ทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทําให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้นๆ รู้ทันทีว่าทําไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้าเท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมันที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทกย่างกาว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสยว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า

    คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด ใช่ไหมครับ

    > อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กินในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด
    เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสําคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทํางานหนัก อย่าท้องผูกกินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทํางานหนัก เมื่อตับเราดีมันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรมดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสําคัญที่เราต้องจัดการให้ได้
    หากแก
    ป้ญหาเรื่องเครียดได้แล้วโอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
    > ก็เราเคยเห็นคนบ
    าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดันหรือท้องเสียไหมล่ะขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ เคยเห็นคนบาเป็นมาลาเรยหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลอดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทําอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหลานี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเปนเรื่องสําคัญ ทําอย่างไรไม่ให้เครียด มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการทําสมาธิ แต่ทําไม่ได้คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะจากเดิมที่อาการหนกใกล้จะเสียชตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านมแล้วเข้าปอด เขาสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทําสแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดีตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย

    เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทาไมร่างกายจึงดีขึ้น

    > หากท่านสามารถทําให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทําให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารีให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา
    พวกนี้เป็นฮอรโมนที่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดด ออกมา เพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทํางาน จนกระทั่งต่อมต่างๆที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทํางานได้เต็มที่ คือ มันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทําดี หรือสามารถทําสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทําให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา สามารถสังเคราะห์ได้หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจบ็ปวด

    ฝึกอย่างไรให้เป
    นคนมองโลกในแง่บวก
    > คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผมเปล
    ี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมดแก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์เดียวหน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนักมากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ลูกสามคนมาให้กําลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะมะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกําลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที พระพุทธองค์ทานบอกว จิตอยู่ที่ไหนพลังอยู่ที่ั่นไอน์สไตน์มีความเชื่อว่าพลังที่นแรงที่สุดมีอํานาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทําสมาธิ ท่านก็เลยไม่สําเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้งๆที่เป็นยิว

    ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับหรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล
    >ไม่รักษาเลย
    เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมนไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ก็จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผวเมียเปน็มะเรงตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันคือผ่าตัดและคีโมแต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะมาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ

    หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง

    > วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะไขมันเป็นอาหารอันดับหน
    ึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุกวันมันเกิดออกซิไดซ์เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้ เราอยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ํา หยุดให้ปุ๋ยมันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบ อาหารอย่างต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนโปรตนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเน ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวยนกลับไปทําให้ตับต้องทํางานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลําไส้ใหญ่ ทําให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลําไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทําให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ตับกับไตทํางานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้องระวังที่สุด

    คนปรกติต
    องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
    > คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลําพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก
    ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ํา แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุุนขายแพงมาก มันมีสารที่ปองกันมะเรงและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็นโปรตนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ อาหารอย่างที่ต้องลดคือแปงขัดขาว น้ําตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ําตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อเวลาร่างกายต้องการจะดงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ตับเปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีนและยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน

    แป้งขัดขาวทาปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ

    > เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน
    ้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับอินซูลินออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทําให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับอ่อนทํางานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัสส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แปบเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทํางานหนัก ตอนน้ําตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แปบเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแปบเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกนเลย ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายใน
    อาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ

    คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย

    > ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอน หรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทํางานหนักเนื่องจากกระเพาะทํางานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างย
    งทํางานหนัก พลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกตดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมากพวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนักมาก

    นอกจากน
    ้ำตาลแล้ว เกลือก็ตองลดด้วยใช่ไหม
    > โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดนํ้าในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม
    เกลือมันจะทําให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดี เลอดต้องเป็นดางนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรด ภูมิต้านทานจะไม่มี เพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับโปแตสเซียม ทําให้เลือดไม่เป็นด่าง นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซยมเข้าไปในรางกายเพื่อใหเลือดเป็นด่าง เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึงให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือด การแก้เลือดเป็นกรดแก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆ เพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทําให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอาคารบ์อนไดออกไซด์ออกไปแล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย มนุษย์อดอาหาร ๔๕ - ๕๐ วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓ - ๕ วัน แตอากาศหายใจ ขาดเพียง ๘ ๑๐ นาทีเท่านั้น อาหารที่สคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหารแต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไปทําให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกกําลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทําให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อยล้า
    คุณหมอพอจะแนะนาหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหมครับ
    > เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย
    ครั้งแรกกล้ันไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กล้ันไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลงอ้าปากเอาพิษออกให้หมด ยิ่งทําบ่อยเท่าไหร่ ปอดท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสียออกมาเต็มที่ ปอดมีความจสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่ อากาศเข้าออกเพียงครึ่งลิตรเท่าน้ัน บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศ ไม่เคยเปาหม้อกรองตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เราต้องบริหารการหายใจ จะทําให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด

    แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกาลังกายโดยการเตะฟุตบอล

    > นั่นไม่ใช่การออกกําลังกายที่ให้ประโยชน์ แต่เป็นการออกกําลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป
    unaerobic เราต้องรู้ว่าการออกกําลังกายแบบaerobicกับ unaerobic เป็นยังไง การออกกําลังกายแบบaerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่ unaerobicได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทําให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยังทําผิด เต้น ๆ แล้วเกรงเครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่แอโรบิก แอโรบิกทําแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียด ให้สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิดกรด ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทําลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทกวันนี้ นักฟตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มีใครอายุยืนบ้าง ... ไม่มีเลย เพราะร่างกายมันเสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่า การออกกําลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็วและให้ถูกแสงแดด เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออกกําลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทําให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล

    คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด

    > อาหารธรรมชาติ
    อย่างพืชผก ผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสูง คนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนําให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอดอาหารแต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจําเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้วาร่างกายเราขาดอะไรก่อน

    การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีกครับ

    > ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม เขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ
    ๗๕,๐๐๐ ล้านเซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่าเหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้ามาทําลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทําลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทําให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทําลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้ วิตามินซีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด เวลาฉีดวิตามินซี ทําไมคนไข้สงบเร็วเพราะมันไปลด อีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิดการอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามินซี ๔ - ๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก

    เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่

    > ท่านทราบหรือไม่ว
    าส้มลกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกนจากตทันที แต่ ถาส้มหนึ่งลูกเก็บไว้เจ็ดวันจะเหลือ มิลลิกรมเท่านั้น วิตามินซหายหมดเลย ดังนั้นถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔พันมิลลิกรัม ต้องกินสมสี่พันลูก

    กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ

    > วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมงแล้วจะถูกขับออกมา แต่ก่อนเขาบอกวิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาล
    กเอซิด แล้วพอตกไปกระเพาะปสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิดมีน้อยมาก เพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำมันจะออกหมดภายในสองชั่วโมงไม่ได้สะสม บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไปดื่มน้ําน้อย วตามินซีมีสามรูป แอสคอมิกเอซิด แคลเซียมแอสคอเบด โซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิดเป็นกรด แคลเซียมแอสคอเบด กับ โซเดยมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลง ถ้าเรากินวิตามินซีพวกนี้เข้าไปจะไม่ค่อยมีปัญหาแต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไปจะเป็นแอสคอมิกเอซิดซึ่งเป็นกรด นเข้าไปแล้วขับถ่ายออกมาเร็ว ถ้าเรากินน้ำน้อย ตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบ ฉะนั้นจึงบอกให้ดื่มนํ้ามาก ๆ

    เหตุใดคุณหมอให้ความสาค
    ญกับการกินวตามินมากครับ
    > คนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สิ่งแวดล้อมทําให้เรารับอนุมูลอิสระหรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกาย
    เราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่
    เพียงพอ ตามปรกต
    จะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ํากว่า ๔ - ๕ กรัมตอวัน เป็นขนาดที่เพียงพอสําหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิต้านทานหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย ก็ลองกิน ๖ ๑๒ กรัมดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมือง เราเป็นหวัดหรือไม่ ไม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตําราของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาของแพทย์ตะวันตกที่ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว จึงมีการสอนกันว่าเรื่องการให้เกลือแร่ วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น

    หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมออีกประการคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

    > ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหม พอเราเกิดมาปฺุบ จะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาว
    ปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตร
    จะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาวระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราแล้วคือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทําให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความปวยไข้อีกอย่างเป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯ ในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็งเหมือนบ้านเมืองนี้ มีโจรแต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งคือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหารหรือภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่งพวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉยๆ แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอพวกนี้เล่นงานก่อน นอนก็ไม่ได้นอน ไปเที่ยวกลางคืน กําลังกายก็ไมออก ทหารตํารวจก็อ่อนแอ มะเร็งก็เล่นงานเลย

    มีวิธีสร้างภูมิต้านทานอย่างไร

    > ทําได้หลายวิธี อาทิ ออกกําลังกายหรือเดินให้ได้รับแสงแดด แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไปกระตุ้น ต่อมไพเนียล ใต้สมองให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมา
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุขและระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน ๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมาเรามีความสุข มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่งทันที มันไปกระตุ้น ต่อมไทรอย และต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่าเริ่มสร้างภูมิต้านกนแล้ว และการยิ้มหัวเราะคลายเครียดแต่ละครั้งก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วย นอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลตยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี วิตามินดีจะไปช่วยให้แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูกกลับเข้าไปในกระดูก ลดคลอเลสเตอ รอล ทําให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส แคลเซี่ยม แมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไป สู้วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติจากแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้

    ไส้ติ่งก็เป็นประโยชน์แก่ภูมิคุ้มกันแก่ร
    างกาย แตแพทยจจุบันแนะนให้ตัดออก
    > สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่ไปรบในสงคราม ทุกคนต้องผ่าตัดไส้ติ่งหมดเพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงคราม ตัดหมดทุกคนเลย ไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้านก
    นหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์เขารู้ว่า ไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงคราม เขาเอาเรื่องรัฐบาลว่ามาตัดไส้ติ่งเขาหมด รฐบาลปดปากเงียบเลย