ตาชั่งเอียง? เวทย์ เธียรธโนปจัย*
ร. ๕ ทรงปลดปล่อยทาสให้คนไทยได้เป็นอิสระเพราะทรงเห็นว่า คนไทยไม่ควรจะต้องตกอยู่ในอำนาจของใครที่เป็นมนุษย์ด้วยกันจะเป็นเจ้าของชีวิตคนเป็นๆของคนอื่นได้อย่างไร นั่นคือความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งที่ พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำริในพระราชหฤทัยจึงทรงพยายามปลดปล่อยทาสแม้จะต้องทรงลำบากต่อสู้กับไดโนเสาร์แค่ไหนก็ทรงไม่ลดละและทรงปลดปล่อยทาสได้สำเร็จจนหมดสิ้น แต่แปลกที่ทุกวันนี้เราคงยังเห็นทาสหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะในคนบางกลุ่มซึ่งเป็นคนมีความรู้มีความคิดสติปัญญาสูงส่งเสียด้วย นั่น คือ คนทำงานศาลที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการชั้นสูงสุดของประเทศ ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ทุกครั้งที่คนทำงานศาลจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานโอวาทเป็นกรณีพิเศษ และสิ่งที่มักจะทรงย้ำอยู่เสมอก็คือการให้คนทำงานศาลปฏิบัติหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมีความยุติธรรม เป็นกลางและเป็นตาชั่งที่ตรงไปตรงมาอย่างที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมอบความหวังให้ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน
นี่คิอที่มาของทาสในโรงศาล เพราะยังมีคนทำงานในศาลจำนวนไม่น้อยที่ยังคงละเลยต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัว หลายคนกลัวอำนาจมืดหรือมือที่มองไม่เห็นยิ่งกว่าจะกลัวเกรงพระราชอำนาจที่ทรงใช้ผ่านรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะแต่พระองค์เดียว จึงได้เห็นคำพิพากษาตัดสินคดีที่ขัดสายตาผู้คน รวมทั้งวิถีปฏิบัติที่เป็น ๒ มาตรฐานต่างกรรมต่างวาระเพราะประชาชนเดี๋ยวนี้ ฉลาดขึ้นมาก รู้กฎหมายกันมากขึ้น รู้จักและสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นคนเสื้อแดงเกือบจะทุกคนอย่างตาสียายมาในต่างจังหวัด เขาเข้าใจ คำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามวิธีพิจารณาความอาญาที่แสดงให้เห็นชัดเจนในแนวทางที่กฎหมายกำหนดให้เป็นพื้นฐานไว้มากขึ้น รวมทั้งสิ่งที่กฎหมายรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชน แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกละเลยใช้มาตรฐานที่พวกเขารู้สึกเสมือนว่า ถูกกลั่นแกล้งไม่เป็นธรรมจึงเกิดความเดือดร้อนคลางแคลงใจ กังขาและไม่สบายใจมากขึ้นว่า ทำไมคนทำงานศาลจึงเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะ ที่ไม่ควรจะเป็น มากขึ้นทำไมเขาไม่มีพัฒนาการซึ่งน่าจะมีมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เหตุนี้แหละทำให้เกิดการร้องเรียน ร้องทุกข์และนำมาซึ่งข้อครหานินทาว่า ตาชั่งเอียง
มีนักวิชาการ**ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยเฉพาะโดยจบปริญญาเอกด้านอาชญวิทยา และได้รับประกาศนียบัตรในวิชาการจัดการกับผู้ประสบเคราะห์กรรมจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียในนครเฟรสโน สหรัฐอเมริกา(Criminology-Law Enforcement & Certificate in Victims Services, CSUF)ได้ศึกษาวิพากษ์วิจารณ์ให้ความเห็นต่อหลายกรณีในการทำงานของคนทำงานศาลด้วยความเคารพศาลอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นศาล แต่อยากเผยความรู้สึกความในใจของเธอเพื่อให้คนทำงานศาลได้พิจารณาความเห็นแย้งที่มีต่อการทำงานของศาลอย่างตรงไปตรงมาว่า มีประเด็นบางประเด็นที่อยากขอความกรุณาให้คนทำงานศาลได้เข้าใจว่า ยังไม่เคยมีปรากฏอยู่ในสารบบของศาลไทยแต่อย่างไรเลย จึงอยากขอความกรุณาคนทำงานศาลได้โปรดช่วยพิจารณาประเด็นที่จะกล่าวต่อไป และหากจะช่วยบรรจุไว้ใน สารบบของศาลไทยเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้มีประเด็นใหม่ๆที่สืบเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของประชาชนและสิ่งแวดล้อมใหม่ในสังคมที่เปลี่ยนไปมากขึ้นซึ่งจะช่วยให้มีกรณีศึกษาและประเด็นที่จะใช้เป็นแนวทางในประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามแต่ศาลจะพิจารณาและเห็นสมควร เพื่อที่ประชาชนจะได้อาศัยพึ่งพาความยุติธรรมที่หลากหลายจากศาลเพิ่มมากขึ้น
นักวิชาการได้เสนอความเห็นในการวิเคราะห์ประเด็นข้อกฎหมายไว้อย่างน่าสนใจอย่างที่ รศ. สุดสงวน สุธีสร จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “อย่าลืมว่าขณะนี้สิ่งที่ศาลมองศาลเขาใช้วิธีการพิจารณาจากประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของผู้ก่อการร้าย เป็นองค์ประกอบของการเป็นผู้ก่อการร้ายที่ว่า การวางเพลิงสถานที่ราชการเข้าองค์ประกอบนั้น ซึ่งเราได้โต้แย้งมาตลอดและเราได้พยายามเสนอไอเดียว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอาชญากรรม หรือเป็นอาชญากรทางการเมือง ซึ่งคำเหล่านี้ยังไม่เคยปรากฏอยู่ในสารบบของศาลไทย คนทำงานศาลไทย จึงไม่รู้ไม่เคยรู้ว่ามีคำแบบนี้อยู่ทำให้ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วคนเหล่านี้เขาไม่ใช่โจรไม่ใช่ผู้ร้าย ไม่ใช่อาชญากร แต่ที่เขาทำไปนั้นเขามีความกดดันอย่างมหาศาลเพราะพี่น้องของเขากำลังถูกฆ่าอยู่ในกรุงเทพฯทำให้เขาต้องมีการปฏิบัติการอย่างอื่นออกมาซึ่งถ้าเรามองจริงๆเจตจำนงค์ที่จะไปทำอะไรให้เป็นคดีขึ้นมามันไม่ใช่เจตจำนงค์อันแท้จริงไม่ใช่เกิดจากว่า เป็นคนเลวสุดๆเดี๋ยวจะต้องไปเผาที่นั่นต้องไปวางแผนเผาที่นี่มันไม่ใช่ เพราะพวกเขาไม่ใช่อาชญากรโดยกำเนิด (Killing by Nature)มันเกิดขึ้นสืบเนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมืองเพราะมีรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องและใช้อำนาจโดยมิชอบมาจัดการกับประชาชน” ต่างหาก
ความเป็นจริงนั้น กฎหมายมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะเหนี่ยวนำบังคับให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบผาสุกร่มเย็น กฎหมายไม่ใช่เครื่องมือที่จะใช้สำหรับเข่นฆ่าปราบปรามประชาชน หรือใช้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพเพื่อบีบบังคับคนในสังคม แต่สิ่งที่ปรากฏในสังคมปัจจุบันกลับเป็นตรงกันข้าม มีความตั้งใจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจับกุมคุมขังด้วยความตั้งใจที่จะลิดรอนอิสรภาพกักขังบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ด้วยการกลั่นแกล้ง โดยใช้อำนาจที่มีอยู่ ในมือ ผลจึงปรากฏว่า เพียงประเด็นของคนเสื้อแดงได้ถูกจับในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายและผิดพรก.ฉุกเฉินมากกว่า ๔๐๐ รายทั้งๆที่มาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยความสงบปราศจากอาวุธตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง ที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่ง คนทำงานศาลกลับไม่พยายามเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทั้งของประชาชนและสังคมที่เกิดขึ้นและก้าวหน้าไปไกลไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในประเทศไทยแต่เป็นความศิวิไลซ์ของโลกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา จนยากที่คนอยู่เฉยๆ จะตามได้ทันนอกจากจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง
ผลจากการใช้กฎหมายด้วยวัตถุประสงค์ในการจับกุมคุมขัง ทำให้เสื้อแดงถูกจับจำนวนมากสูงถึงกว่า ๔๐๐ คนดังกล่าวแล้วแม้บางส่วนจะได้รับให้ประกันตัวได้ แต่ในปัจจุบันยังมีเสื้อแดงต้องถูกจองจำอยู่ถึง ๗๑ คน และหลายคนกำลังป่วยหนักด้วยโรคประจำตัวและโรคแทรกซ้อนทั้งในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด แม้ทนายความของคนเสื้อแดงจะพยายามยื่นขอประกันตัว ส่วนใหญ่ศาลจะไม่ให้ประกันตัว ด้วยเหตุผลที่อ้างว่าเป็นคดีร้ายแรงซึ่งมีโทษสูงทั้งๆที่ศาลได้กำหนดวงเงินประกันเพิ่มมากขึ้นบางรายสูงถึง ๑ ล้านบาทรวมทั้งได้รับความร่วมมือจาก สส.พรรคเพื่อไทยช่วยเป็นผู้ประกันผู้ต้องหาด้วย ศาลก็ยังไม่ให้ประกันและคงอ้างเหตุผลเดิมๆว่ากลัวหนีทั้งๆที่บางรายป่วยหนักอยู่
ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็คือ คนทำงานศาลซึ่งรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดกลับไม่รู้จักมหาบุรุษที่ทรงความรอบรู้ทันสมัยที่สุดของตน มิฉะนั้นแล้วศาลก็จะเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจและทำให้ทรงโสมนัสที่ศาลจะเป็นที่พึ่งสำคัญสุดท้ายของประชาชนและเป็นตาชั่งที่ไม่เอียงได้สะอาดหมดจดและเป็นศาลสถิตยุติธรรมโดยแท้
บรรณานุกรม :
**Sudsanguan Suthisorn :
LL.B Thammasat University
M.S Criminology-Law Enforcement, California State university-Fresno
Certificate in Victims Services, CSUF
M.S Criminology-Law Enforcement, California State university-Fresno
Certificate in Victims Services, CSUF
*Wett Tientanopajai : B.A.(Communication Arts) Chulalongkorn University M.A. (Demography) College of Population Studies, CU.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น