วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมจะเปิดเผยชื่อผู้พิพากษาที่ขึ้นบัลลังก์ไม่ได้?


ทำไมจะเปิดเผยชื่อผู้พิพากษาที่ขึ้นบัลลังก์ไม่ได้?
เวทย์ เธียรธโนปจัย

ด้วยความเคารพศาล จะหมิ่นศาลพระภูมิก็ยังไม่กล้าคิด ทำไมจะเปิดเผยชื่อผู้พิพากษาที่ขึ้นบัลลังก์ไม่ได้ (ขอประทานโทษหากศาลทำอยู่แล้ว) ในเมื่อทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธย พระเจ้าอยู่หัว อ.มานิตย์ จิตจันทน์กลับ อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านก็เคยพิพากษาโทษประหารชีวิตมาแล้ว ท่านก็ยังเดินถนนได้ตามปกติเพราะท่านปฎิบัติงานด้วยความสุจริตไม่มีลับลมคมในไม่มีข้อสงสัยหรือเคลือบแคลงอย่างไร ข้อสำคัญท่านตัดสินคดีตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตาชั่งที่ท่านถือจึงไม่เอียง จึงไม่ต้องคำนึงถึงสี ข้าง ฝ่าย พวก กลุ่ม หรือธงและหรือมือที่มองไม่เห็น ท่านจึงทำด้วยความสบายใจมั่นใจ คำพิพากษาที่มีความเห็นว่าต้องประหารชีวิตจำเลยจึงมีหตุมีผลมีพยานหลักฐานประกอบหนักแน่นทุกอย่างที่ต้องตัดสินโทษไปทางนั้นจะบิดเบี้ยวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยซึ่งจำเลยก็จำนนยอมรับคำพิพากษานั้นโดยไม่ตะขิดตะขวงใจแม้สักนิด อ.มานิตย์จึงเดินตลาดเข้าห้างไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ต้องมีตำรวจคุ้มกันไม่มีรถกันกระสุนนั่ง แล้วท่านผู้พิพากษาคนทำงานศาลในปัจจุบัน ท่านแตกต่างกับผู้พิพากษาคนอื่นอย่างไร ท่านโฆษกศาลยุติธรรมคงไม่ต้องออกมาชี้แจงเหตุผลก็ได้เพราะ อ.มานิตย์ ท่านได้ตอบโจทย์ที่ประชาชนสงสัยและข้องใจจนหมดเปลือกได้อย่างครบถ้วนกระบวนความจนสิ้นกังขาทั้งหมดแล้ว

ที่เห็นได้ชัดที่สุดในปัจจุบันก็คือ คนทำงานศาลกำลังเพลินกับการใช้อำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้เป็นพระราชอำนาจของพระเจ้า อยู่หัวแต่พระองค์เดียว ทั้งๆที่ไม่มีข้อกฎหมายใดกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น จึงทำให้คดีความต่างๆรกศาลมากขึ้น ผู้ต้องหางงงวยยิ่งขึ้น คลางแคลงใจและไม่สบายใจมากขึ้นว่า ทำไมคนทำงานศาลต้องมาแย่งทำงานที่เป็นงานธุรการของเจ้าหน้าที่พนักงานในชั้นสอบสวนเสียเองให้ต้องถูกด่าทำไม ทั้งๆที่น่าจะไม่ใช่หน้าที่ของคนทำงานศาลจะต้องเสียเวลามาพิจารณาพิพากษาเรื่องอย่างที่ว่าให้เปลืองตัวเปลืองเวลาของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น คนทำงานศาลน่าจะใช้เวลาไปพิจารณาพิพากษาคดีความต่างๆที่เป็นเรื่องใหญ่มี ความละเอียดซับซ้อนซึ่งต้องใช้ทั้ง เวลาและความรู้ความสามารถ คนทำงานศาลไม่ควรและไม่จำเป็นต้องมาพิจารณาว่า ผู้ต้องหารายนี้รายโน้นไม่ควรให้ประกันตัว เพราะผู้ต้องหาทุกคนยังไม่ใข่นักโทษและเป็นผู้บริสุทธิ์ทุกคน ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาโทษออกมาและรัฐธรรมนูญก็ให้การคุ้มครองกำหนดให้ผู้ต้องหาทุกคน จะต้องได้รับสิทธิการประกันตัวทุกคนตั้งแต่ถูกจับจนถึงขั้นสอบสวนและทุกขั้นตอนในการอุทธรณ์และฎีกา  

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเรียกประกันหรือหลักประกัน การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน พศ. ๒๕๔๙   มีข้อที่ควรสนใจดังนี้                                                                          

ข้อ ๑.  การเรียกประกันหรือหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน ให้เจ้าพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกำหนดวงเงินประกันโดยนำหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๑๐ วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม (เสียดายที่ไม่มีข้อมูลโดยเฉพาะอัตราวงเงินประกันขั้นต้นหรือมูลค่าหลักประกันในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา หากโฆษกศาลยุติธรรมมีตัวเลขดังกล่าวจะข่วยกรุณาประกาศให้ทราบทั่วกันจะขอบพระคุณยิ่ง) ทั้งนี้ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกำหนดวงเงินประกันเกินสามในสี่ของวงเงินประกันที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาดังกล่าว                                                                                                                                         ข้อ ๒. การใช้บุคคลเป็นประกันหรือการกำหนดให้หลักทรัพย์ใดเป็นหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๑๐ วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้โดยอนุโลม                                                                                                                                             ข้อ ๓.  ให้ส่วนราชการที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการสังกัด ประกาศและเผยแพร่กฎกระทรวงและแนวทางปฏิบัติในการเรียกประกันหรือหลักประกัน ให้ผู้ที่มาติดต่อและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน                                                                             

ฉะนั้น พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ จะต้องมีหน้าที่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาทุกคนทั้งหมด จะเบี้ยวหรือโยนภาระให้ศาลเป็นผู้พิจารณาสั่งการไม่ได้และศาลก็ไม่มีหน้าที่จะต้องรับ พิจารณาว่าให้หรือไม่ให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ยกเว้นการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ตามกฎกระทรวงเพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดอยู่แล้ว ว่าผู้ต้องหาทุกคนต้องได้รับสิทธิให้ประกันตัว คดีที่จะรกศาลก็จะน้อยลงไปมาก ยิ่งไปกว่านี้จะทำให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการรู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบไม่ใช่เอะอะอะไรก็โยนให้ศาลหมด คนทำงานศาลจะได้ไม่เสียเวลามารับ Job งานธุรการในชั้นสอบสวนให้ถูกด่าด้วยทำไม  

สิ่งที่จะทำให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการอาจจะมีกังวลคือกลัวผู้ต้องหาจะหลบหนีจริงๆแล้วไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอ้างอย่างนั้น กฎกระทรวงได้เปิดโอกาสให้ใช้บุคคลเป็นประกันหรือกำหนดให้ใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกันแทนอยู่แล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการน่าจะใช้ความสามารถเรียกเอาบุคคลหรือหลักทรัพย์เป็นประกันได้อยู่แล้วสิ่งที่ผู้ต้องหาต่างหากควรจะเป็นกังวลมากกว่าเมื่อต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะการจะหาบุคคลหรือหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่เพื่อให้ตนเองได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อหาทางต่อสู้คดีผู้ต้องหาก็ต้องจำทนหาหลักประกันมาให้แม้จะยากลำบากอย่างไร แค่คิดขวนขวายหาหลักประกันก็ยุ่งยากเต็มประดาที่จะคิดหลบหนียิ่งยากใหญ่ คนที่ไม่เคยติดคุกลองเข้าคุกไปเยี่ยมพวกเขาดูก็จะรู้สึกว่า ผู้ต้องโทษนั้นต้องการคิดคุกใช้หนี้กรรมให้หมดไวๆ มากกว่าจะคิดหนี

จึงอยากเรียนคนทำงานศาลได้ช่วยกรุณาลดคดีที่กำลังรกศาลให้น้อยลง ท่านก็จะได้เหนื่อยน้อยลง แล้วยังจะช่วยให้คุกว่างขึ้นให้คนคุกที่จำเป็นต้องนอนคุกได้มีที่หายใจอย่างอิสระเสรีด้วยเถิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น